วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อันดับ 1 Atlantis


Atlantis

     แอตแลนติส เป็นเมืองเกาะในตำนานที่ปรากฏในหนังสือของเพลโตนักคิดแห่งกรุงเอเธนส์ ที่เขียนราว 400 ปีก่อนคริสตกาล ในบทสนทนาระหว่าง "ทิมาอีอุส" กับ "ไครติอัส" โดยไครติอัส ที่พรรณนาเมืองแห่งนี้ว่า เป็นเมืองที่ปปกครองโดยกษัตริย์ปกครองแผ่นดินที่มีมหานครบนกลางเกาะ และในใจกลางนครมีหมาราชวังและวิหารที่ยิ่งใหญ่ของเทพโพไซดอน ดินแดนแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง ที่เมืองก็เจริญมั่งคั่งทั้งมีน้ำพุร้อนและเย็นสำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร ผู้คนเคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม หากต่อมาพวกเขาต่างละโมบโลภมากและทะเยอทะยานจนเป็นเหตุทำให้ ซุส กษัตริย์แห่งทวยเทพโกรธเป็นอย่างมากเลยบันดาลให้เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเลไปตลอดกาล ปัจจุบันยังมีมีการค้นหาเมืองแอตแลนติสแห่งนี้เนื่องจากเชื่อว่ามีอาวุธ โบราณร้ายแรงอยู่ที่นั่น โดยคาดว่าอาจอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะนักประดาน้ำบางคนพบขุมทองบริเวณนั้นนั่นเอง

อันดับ 2 Utopia


Utopia

           ยู โทเปียเป็นแนวคิดเมืองในอุดมคติที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงบนโลกของเราได้ โดยแนวคิดนี้เป็นของโทมัส มอร์ นักปรัชญามนุษยนิยมชาวอังกฤษ เขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1516 โดยตั้งใจเขียนเป็นวรรณกรรมเสียดสีล้อเลียนความโง่เขลาและความเลวร้ายของ สังคมในสมัยนั้น โดยสมมุติเมืองหนึ่งที่ผู้คนเป็นคนดีมีศิลธรรมและความพึงพอใจในการใช้ชีวิต ไม่ให้ความสำคัญกับวัตถุ เห็นเงินทองเป็นสิ่งหยาบช้า ไม่มีค่า ในเมืองไม่มีกฎหมายออกมาบังคับประชาชนมากมาย พวกเขาอยู่ร่วมกันด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายคล้ายคลึงกัน เสื้อผ้าแต่ละชุด ใช้ทนทานนานถึงเจ็ดปี และผู้คนในระดับผู้ปกครองก็ไม่มีสิ่งบ่งบอกด้วยวัตถุใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ หรือสิ่งประดับที่ชี้ให้เห็นว่าแตกต่างจากประชาชนอื่นๆบ้านเรือนทุกบ้านเป็น สวนปลูกดอกไม้ ผลไม้หรือพืชผัก ไม่มีกลอนหรือกุญแจบ้าน เพราะไม่จำเป็น และความเป็นอยู่ไม่ขัดสน อยู่ดีกินดีมาก ไม่มีการแก่งแย่งกัน และชาวเมืองต่างทำงานตามหน้าที่โดยไม่เกรียจคร้าน ไม่มีร้านเหล้า ไม่มีการพนัน หรือสิ่งยั่นยุอื่นๆ ความบันเทิงคือการศึกษาหาความรู้ เรียกได้ว่าเป็นสังคมอุดมคติอย่างแท้จริง

อันดับ 3 Shangri-La


Shangri-La



             เป็น สถานที่จิตนาการที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเรื่อง Lost Horizon(แปลไทยในชื่อ ลับฟ้าปลายฝัน) เขียนโดย เจมส์ ฮิลตัน โดยหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1933 เพื่อปลอบประโลมจิตวิญญาณของผู้คนที่กำลังสับสนกับชีวิตหลังสงครามโลกครั้ง ที่ 1 โดยหนังสือเล่มนี้ทำให้ชาวโลกรู้จักเมืองแชงกรีลาซึ่งเป็นภาษาธิเบตหมายถึง ทางนำไปสู่ดวงตะวันและดวงจันทร์โดยดวงจิต หรือ ดินแดนอีกด้านหนึ่งของโลก หรือ แดนสวรรค์บนโลก โดยหนังสือได้พรรณนาว่าเป็นดินแดนเร้นลับแห่งใดแห่งหนึ่งในธิเบต และมีความเชื่อที่ว่า นี่คือดินแดนในฝันของมนุษยชาติชุมชนที่สวยงามสงบสุข มีอารยธรรมสูง ไม่มีความรุนแรง ไร้ซึ่งความกังวลใจ ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาสูงใหญ่ที่ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี ความสงบ อากาศเย็น และผู้คนมีความเป็นมิตร มีอายุวัฒนะ แต่จะหายไปทันทีถ้าใครออกไปนอกเขตแชงกรีลา ปัจจุบันชื่อของแชงกรีลากลายเป็นชื่อเมืองหนึ่งของจีน คือตี๋ชิง(Diqing) อำเภอตี๋ชิง เขตจงเตี้ยน บริเวณตะเข็บรอยต่อของมณฑลยูนนานและทิเบต โดยทางจีนประกาศอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 1997 (โดยศึกษาค้นคว้า ตามคำบรรยายของ เจมส์ ฮิลตัน เทียบกับพื้นที่ต่างๆในประเทศจีนมาร่วมปี)

อันดับ 4 Avalon


Avalon

 
         อวา ลอน (คาดว่ามาจากคำในภาษาเคลติก abal หมายถึง แอปเปิล) เป็นเกาะและเมืองในตำนานกษัตริย์อาเธอร์ ได้เชื่อว่าเป็นเมืองที่กษัตริย์อาเธอร์อยู่ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ปรากฏครั้งแรกในวรรณกรรมของเจฟฟรีย์แห่งมอนมอธ ในบันทึกประวัติศาสตร์จำลอง ฉบับ ค.ศ. 1136 เรื่อง Historia Regum Britanniae ("ประวัติกษัตริย์แห่งบริเตน") ในตำนานเล่าว่าในที่แห่งนี้เป็นดินแดนแห่งแอปเปิล มีที่สวยงามและอร่อยที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่สร้างดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ของกษัตริย์อาเธอร์ และเป็นที่ซึ่งอาเธอร์ใช้รักษาแผลบาดเจ็บจากการรบ หลังจากการศึกครั้งสุดท้ายที่คัมลานน์ นอกจากนั้น ในตำนานของชาวคริสต์ ช่วงที่พระเยซูฟื้นจากความตาย ได้บอกกับโจเซฟว่า เขาจะไปยังที่อวาลอนแห่งนี้ ซึ่งความจริงแล้วบนโลกของเรามีชื่อเกาะอวาลอนอยู่จริง ในประเทศอังกฤษ ซึ่งในปีค.ศ.1911 นักบวชที่วิหารกลาสตันเบอรี่ ในซอมเมอร์เซต บน พบพระศพของกษัตริย์และราชินีคู่หนึ่ง ซึ่งต่อมาประกาศว่าเป็นพระศพของกษัตริย์อาเธอร์และราชินีของพระองค์ ทางพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 จึงโปรดให้จัดพิธีฝังพระศพขึ้นใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์อันดีงามและเป็นความ ฝันของชาวอังกฤษ หากแต่ในเวลาต่อมาก็พบว่ามันเป็นของปลอม และเกาะอวาลอนที่แท้จริงนั้นก็ยังไม่มีใครทราบว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่ (เกาะอวาลอนปรากฏอยู่ในการ์ตูนหลายเรื่อง หนึ่งในคือการ์ตูนมหาสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์)

อันดับ 5 Valhalla



Valhalla

 

       สวรรค์ วัลฮัลลา เป็นตำนานของสแกนดิเนเวีย ปรากฏในศตวรรษที่ 13 ในกวี Edda ตามตำนานเล่าว่าที่แห่งนี้เป็นสวรรค์ของชาวนอร์ส(หรือพวกไวกิ้ง) ปกครองโดยพระเจ้าโอดินที่มีคำสั่งให้วาลคิวรี(ผมเขียนถูกหรือเปล่า)รวบรวม วิญญาณของเหล่านักรบผู้กล้าที่ตายมาในดินแดนแห่งนี้ เพื่อฝึกฝนเตรียมตัวในการทำสงครามแร็คนาร็อก โดยจะมีสัตว์ประหลาดออกมาเพื่อต่อสู้ หากชนะก็จะสามารถกินดื่มกันไม่อั้นในมีอาคารขนาดใหญ่ที่เรียกว่าวิหารแห่ง นักรบ Valhalla วิหารแห่งนี้มี 540 ประตู ใช้หอกเป็นจันทัน ใช้โล่เป็นหลังคา และใช้แผ่นเกราะตรงหน้าเป็นม้านั่ง นอกจากนั้นยังมีหมาป่าเป็นผู้รักษาประตูทิศตะวันตกและนกอินทรีย์คอยบินโฉบ เฉี่ยวไปมา ที่นี้สามารถดื่มสำราญกันอย่างไม่มีสิ้นสุด หมูที่กินไปหมดแล้วก็มีมาเรื่อยๆ ไม่รู้จักหมด น้ำที่ดื่มเป็นไวน์ที่ดื่มก็ไม่มีพร่อง และเมื่อถึงเวลาสงครามนักรบ 800 คนจะเดินสวนสนามออกไปทางแต่ละประตู (ดินแดนแห่งนี้ปรากฏในการ์ตูนเรื่องการผจญภัยของบิลลี่กับแมนดี้)


อันดับ 6 Cockaigne


Cockaigne

 
    
    Cockaigne  เป็น ดินแดนจินตนาการในตำนานในยุคกลาง ที่เรียกว่าสวรรค์บนดินชัดๆ โดยเล่าว่า เป็นดินแดนที่ไม่มีกฎหมายและไม่มีกฎใดๆ ในเมืองแห่งนี้ มีเสรีภาพทางเพศ มีอาหารการกินอุดมสมบรณ์ทั้งบนดินและบนท้องฟ้า(ฝนตกเป็นชีส) และอากาศที่สบายเหมาะแก่การนอน โดยเมืองแห่งนี้ปรากฏอยู่ในบันทึก the Latin "Cucaniensis" และ the Middle English "Cokaygne" นอกจากนั้นในประเทศต่างๆ เรียกชื่อเมืองนี้แตกต่างกัน เช่น ดัตช์เรียกเมืองนี้ว่า "ดินแดนแห่งความขี้เกียจ" เยอรมันเรียกเมืองนี้ว่า "ดินแดนแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง" สวีเดนเรียก ดินแดนเพื่อนสันหลังยาวและไขมัน บางประเทศก็เรียก "ดินแดนแห่งอาหาร" แน่นอนดินแดนแห่งนี้ไม่มีอยู่จริงในโลกแน่นอน โดยที่มาของเมืองนี้เป็นการสมมุติเมืองแบบยูโทเปียแบบเมืองสวรรค์ ที่ความเกียจคล้ายและการกินเป็นอาชีพหลัก ซึ่งถือว่าเป็นดินแดนในฝันของชาวนายุคกลาง ซึ่งอาชีพชาวนาสมัยนั้นลำบากมากๆ

อันดับ 7 Camelot


Camelot
 
    คา เมล็อตเป็นเมืองในตำนานของอังกฤษปรากฏในศตวรรษที่ 12 โดยกวีชาวฝรั่งเศส ชื่อ เครเตียง เดอทรัว เขาได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าของวณิพกที่มาแสดงลำนำในราชสำนักของราชินีเอ ลินอร์แห่งอากีแตน เครเตียง ที่เล่าถึงความรัก กษัตริย์อาเธอร์และเมืองหลวงที่วิเศษแห่งนี้ในโลก - ตามตำนานเล่าว่าคาเมล็อตตั้งอยู่ในป่าเขาและที่ใจกลางเมืองมีปราสาทที่เป็น ที่อยู่ของกษัตริย์อาเธอร์ และอัศวินโต๊ะกลม ที่ปกครองด้วยสามัคคีธรรม ซึ่งเป็นดินแดนในฝันของคนยุคกลางสาเหตุก็เนื่องมากจากช่วงเวลานั้นเต็มไป ด้วยสงครามและโรคระบาด - คาเมล็อต เป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่ดึงดูดจิตใจผู้คนมานานกว่า 8 ศตวรรษ หลายคนต่างเสาะแสวงหาตามที่ต่างๆ ว่าเมืองแห่งนี้แท้ที่จริงคือเมืองไหนกันแน่และกษัตริย์อาเธอร์มีความจริง หรือเปล่า แต่จนบัดนี้ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เชื่อกันว่าปราสาทอาเธอร์แห่งเมืองคาเมล็อตน่าจะเป็น ปราสาทแคดเบอร์รีที่เมืองเซาท์แคดเบอร์รีมณฑลซอมเมอร์เซ็ตเป็นสถานที่ที่น่า เชื่อถือที่สุด เพราะปราสาทนี้เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่สุดของอังกฤษในช่วงเวลาที่น่าจะ เป็นยุคสมัยของกษัตริย์อาร์เธอร์ และเป็นศูนย์บัญชาการของกษัตริย์นักรบผู้ทรงแสนยานุภาพ อีกทั้งในปลายศตวรรษที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงที่กษัตริย์อาร์เธอร์น่าจะมีพระชนม์ชีพอยู่ ป้อมนี้ถูกโรมันตีแตกไปเมื่อ ค.ศ.83 และทิ้งให้ร้างต่อมาถึง 400 ปีก่อนจะมีการบูรณะขึ้นมาอีกครั้ง มีร่องรอยของอาคารไม้และห้องโถงยาว 19 เมตร ซึ่งอาจเคยเป็นที่ตั้งโต๊ะกลมของบรรดาอัศวินก็ได้